วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ครั้งที่3

บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย( Pre-School Administration )
อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วัน/เดือน/ปี : 25 มกราคม 2560
เรียนครั้งที่ 3 เวลาเรียน 12:30 - 15:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้องเรียน 34-501







นำเสนอคำคม

เลขที่5 นางสาวเปมิกา  เปาะทองตำ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คำคมผู้นำ






เลขที่6  นางสาวอัมพิกา  แช่มนุ้ย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คำคมหัวหน้าที่เก่ง







บทบาทของผู้บริหาร ผู้นำในยุคโลกาภิวัตน์

เมื่อกล่าวถึงผู้นำ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงภาพของผู้ที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล ต่อผู้อื่น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่สามารถสั่งการได้ หรือเดินตามในทิศทางที่ผู้นำก้าวเดินหรือกำหนดให้ ผู้คนเกรงกลัว


ความรู้เกี่ยวกับผู้นำ


ความหมายและประเภทของผู้นำ

                ผู้นำ (Leader) หมายถึง บุคคลที่มีศิลป บุคลิกภาพ ความสามารถ เหนือบุคคลทั่วไป สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ ส่วนความเป็นผู้นำ (Leadership) เป็นกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกลุ่ม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารทุกคนควรเป็นผู้นำ และมีภาวะผู้นำ แต่ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้บริหารที่ดีได้ทุกคน เพราะผู้บริหารต้องมีทักษะ มีความสามารถในหน้าที่ของผู้บริหารด้วย


ประเภทของผู้นำ




1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal) และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

   1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช  (Legal Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น หรือจากบุคลิกภาพของผู้นั้นเอง ผู้นำแบบนี้ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกระทรวง ทบวง กรม เช่น รัฐมนตรี อธิบดี หัวหน้ากอง และหัวหน้าแผนก เป็นต้น

   1.2  ผู้นำแบบใช้พระคุณ  (Charismatic Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่ ความสำเร็จในการครองใจ ตัวอย่างได้แก่ มหาตมะคันธี ซึ่งสามารถใช้ภาวะการเป็นผู้นำครองใจชาวอินเดียนับเป็นจำนวนล้าน ๆ คน ได้

   1.3  ผู้นำแบบพ่อพระ  (Symbolic Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธาเช่น พระมหากษัตริย์




2.  ผู้นำตามการใช้อำนาจ 

   2.1 ผู้นำแบบเผด็จการ   (Autocratic Leadership) หรือ อัตนิยม คือใช้อำนาจต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการสั่งการแบบเผด็จการโดยรวบอำนาจ ไม่ให้โอกาสแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ปฏิบัติการแบบนี้เรียกว่า One Man Show

    2.2  ผู้นำแบบเสรีนิยม (Laisser-Faire Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี

    2.3  ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบนี้ เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ



3.  ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก 
จำแนกเป็น  3 แบบ คือ

    3.1  ผู้นำแบบบิดา-มารดา (Parental Leadership) ผู้นำแบบนี้ ปฏิบัติตนเหมือนพ่อ-แม่หรืออาจแสดงออกตรงกันข้ามในลักษณะการตำหนิติเตียนวิพากษ์   วิจารณ์   คาดโทษ   แสดงอำนาจ

    3.2  ผู้นำแบบนักการเมือง  (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้าง

    3.3  ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ  (Expert Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff


ศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัย Michigan ได้ศึกษาพฤติกรรมของผู้นำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

     1. ผู้นำที่มุ่งคน (Employee Oriented) คือผู้นำที่เน้นความมีสัมพันธภาพที่ดีกับพนักงาน กับบุคคลทั่วไป ยอมรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน
      2. ผู้นำที่มุ่งงาน (Production Oriented) เน้นวิธีการปฏิบัติงานและผลงานที่จะได้ มองพนักงานเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลงาน


คุณสมบัติของผู้นำ

      ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ได้ จะต้องเป็นมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาภายหลังได้ (Leader are bone, not made)
     คุณสมบัติพื้นฐานที่ทำให้ผู้นำแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
     1. ความมุ่งมั่น (drive)
     2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
     3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
     4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
     5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
     6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)

สรุป คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ดังนี้ คือ

     1. มีความเฉลียวฉลาด      
     2. มีการศึกษาอบรมดี     
     3. มีความเชื่อมั่นใจตนเอง    
     4. เป็นคนมีเหตุผลดี      
     5. มีประสบการณ์ในการปกครองบังคับบัญชาเป็นอย่างดี     
     6. มีชื่อเสียงเกียรติคุณ   
     7. สามารถเข้ากับคนทุกชั้นวรรณะได้เป็นอย่างดี   
     8. มีสุขภาพอนามัยดี   
     9. มีความสามารถเหนือระดับความสามารถของบุคคลธรรมดา 
    10 มีความรู้เกี่ยวกับงานทั่ว ๆ ไปขององค์กร หรือหน่วยงานที่ตนปฏิบัติอยู่โดยเฉพาะ    
    11. มีความสามารถเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานให้ได้ทันท่วงที     
    12. มีความสามารถคาดการณ์

ภาวะผู้นำ (Leadership)

    ภาวะผู้นำ กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี โดยมีองค์ประกอบดังนี้
                1. ตัวผู้นำ                               
                2. ผู้ตาม
                3. จุดหมาย                            
                4. หลักการและวิธีการ
                5. สิ่งที่จะทำ                           
                6. สถานการณ์

ภาวะผู้นำ (Leadership)

1. ผู้นำโดยกำเนิด เช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว
2. ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ ผู้นำ เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายธานินทร์ เจียรวนนท์ และนายบิลเกตต์
3. ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร เช่น อธิบดี ผู้อำนวยการ อธิการบดี หัวหน้าฝ่าย
4.  ผู้นำตามสถานการณ์ ผู้นำแบบนี้มักเป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นครู เป็นผู้สอนแทน ผู้นำในการฝึกอบรม การประชุม

ลักษณะและบทบาทของผู้นำ

ผู้นำจะนำไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ก็อาจจะไม่ใช่ผู้จัดการ หรือบริหารที่ดีได้ หรือผู้บริหาร-ผู้จัดการที่ดี ก็อาจไม่ใช่ผู้นำที่ดีก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ องค์การหนึ่งองค์การใดที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก็ย่อมต้องการผู้บริหาร หรือผู้จัดการที่มีลักษณะเป็นผู้นำดังนี้

1. ต้องมีความฉลาด (Intelligence)
2. ต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social Maturity & Achievement Drive) 
3. ต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner Motivation)
4. ต้องมีเจตคติที่ดีเกี่ยวกับมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Attitudes)


ลักษณะของผู้นำในทศวรรษหน้า

1. เป็นผู้บริหารที่ไม่มากเกินไปในทางใดทางหนึ่ง คือ ไม่ใช่ผู้นำที่มุ่งแต่งานอย่างเดียว หรือมุ่งที่คนอย่างเดียว
2. ผู้บริหารเน้นการสร้างให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนมีความเป็นเลิศในทุกด้าน
3.  วิธีการแก้ปัญหาของผู้นำจะใช้ผู้ปฏิบัติงานแก้เอง
4.  ผู้นำจะมอบอำนาจ  จนพอที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถใช้อำนาจนั้นให้งานสำเร็จในตัว
5.  ผู้นำเน้นคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานที่สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี


บทบาทหน้าที่ของผู้นำ

 1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
 2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
 3.  ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
 4.  ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
 5.   Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
 6.  ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว ทัศนคติต้องเปลี่ยน


ผู้นำยุคใหม่

     คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ ของผู้นำที่ดี ดังนี้

                1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
                2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจได้..
                3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
                4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
                5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
                6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
                7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
                8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
                9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
                10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..

       สรุป ผู้นำยุคใหม่ ก้าวไกลสู่สากล จึงจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความคิดดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดีงาน (business mind, social heart) พร้อมที่จะรับฟัง ยอมรับ และใส่ใจผู้อื่น มีความฉลาดทางความคิดปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ รู้เท่าทันอารมณ์ จัดการกับอารมณ์ และจูงใจ ทั้งตนเองและผู้อื่นให้มีจิตใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันทำงานได้ด้วยความเต็มใจเพื่อนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน

                ผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่หัวใหญ่ (Head) ใจโต (Heart) มือกว้าง (Hand) และร่างสมาร์ท (Health)
ความรู้เกี่ยวกับผู้บริหาร

ผู้บริหาร หรือ ผู้จัดการ  เป็นสมาชิกในองค์กร  แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ทำงานในองค์กรจะเป็นผู้บริหารทุกคน  สมาชิกในองค์กรขนาดใหญ่แบ่งเป็น 2 ประเภท   คือ ผู้ปฏิบัติงานกับผู้บริหาร ในองค์การนั้นผู้บริหารต่าง ๆ อาจมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น  ผู้บริหารระดับล่างมักจะใช้ชื่อว่า  Supervisor  ถ้าในโรงงานอุตสาหกรรมจะเรียกว่า  Foreman   (หัวหน้างาน)   ส่วนผู้บริหารระดับกลางก็จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน  เช่น  ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก หัวหน้าหน่วย  คณบดี  ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร  รับผิดชอบในด้านนโยบาย กลยุทธ์  และตัดสินใจนั้น  ได้แก่ รองประธาน ประธาน  ผู้อำนวยการ อธิการ ประธานบอร์ด CEO

ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ
    1.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการ  (Line Manager)
                2.  ผู้บริหารทำหน้าที่ให้คำแนะนำ  (Staff  Manager)
                3.  ผู้บริหารทำหน้าที่สั่งการเฉพาะด้าน  (Functional Manager)
                4.  ผู้บริหารทั่วไป  (General Manager)
                5.  ผู้บริหาร (Administrator)

ภาพแสดงลักษณะของผู้บริหารแบ่งตามพฤติกรรมที่แสดงออก



      1.  ผู้บริหารแบบ Impoverished จะเป็นผู้บริหารที่ไม่สนใจทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและเรื่องงาน เป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ที่สุด
      2.  ผู้บริหารแบบ Country Club เป็นผู้บริหารที่มุ่งเน้นเรื่องความทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่จะไม่มุ่งเน้นเรื่องงาน ดังนั้นผู้บริหารแบบนี้เป็นผู้บริหารที่ผู้ใต้บังคับบัญชาชอบ แต่งานที่รับผิดชอบมักจะไม่บรรลุเป้าหมาย
      3.  ผู้บริหารแบบ  Authority-Compliance เป็นผู้บริหารที่มุ่งแต่เรื่องงานโดยไม่คำนึงถึงเรื่องจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้ว่างานที่รับผิดชอบอาจจะบรรลุผล แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะไม่พอใจ ผู้ที่ทำงานด้วยจะอึดอัดใจ อาจจะลงท้ายความขัดแย้งในที่สุด
     4.  ผู้นำแบบ  Middle the Road   เป็นผู้บริหารที่พอได้ทั้งเรื่องคนและเรื่องงานผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานด้วยก็พอใจในระดับหนึ่งงานที่รับผิดชอบก็สำเร็จอยู่บ้าง
     5.  ผู้บริหาร  Team   เป็นผู้บริหารที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา และยังสามารถทำงานได้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายอีกด้วยเป็นลักษณะผู้บริหารที่พึงประสงค์ที่สุดในบรรดาผู้บริหารแบบอื่น ๆ


คุณลักษณะของผู้บริหาร

นักบริหารมืออาชีพได้สรุปคุณลักษณะดังนี้
             1.  Vision   เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
             2.   Charisma   เป็นผู้มีเสน่ห์  มีแรงดึงดูด  สร้างความเชื่อให้คนเกิดความศรัทธา คล้อยตามได้
             3.  Integrity   มีความเป็นปึกแผ่น  เหนียวแน่น
             4.  Self – Less   ทำอะไรไม่นึกถึงตนเองแต่คำนึงถึงส่วนรวม
             5.  Courage       มีความกล้าหาญ
             6.  Uncompromising   ไม่ยอมอ่อนในเรื่องบางเรื่อง
             7.  High   Ground    ความมีมาตรฐานในตัวเองมีความซื่อสัตย์   และมีความโปร่งใสสูง
             8.  Listening   รู้จักฟัง
             9.  Fairness    มีความยุติธรรมเที่ยงธรรม
             10.  Sense     of   Time มีสติ   รู้ทันเหตุการณ์ว่าต้องทำอะไร
             11.  Know   Others Know   Oneself    เข้าใจคนอื่นและเข้าใจตนเอง หรือรู้เขารู้เรา
             12.  Judgment   ยุติธรรม
             13.  Inspiring    มีความมุ่งมั่น
             14.  Faith    มีความเชื่อมั่น   ศรัทธา
             15.  Institutional    มีความเป็นองค์กรนั้น


ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่

      ผู้บริหารและการบริหารทุกระดับ ใช้ทักษะ (Skill)  อย่างเดียวกันแต่ใช้สัดส่วนที่ต่างกัน ยิ่งขึ้นไปสู่ระดับบริหารที่สูงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องการข้อมูล เพื่อการตัดสินใจ และการใช้ทรัพยาการที่หลีกเลี่ยงในอนาคตมากขึ้น ดังนั้น ควรทำความเข้าใจอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ   ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.ผู้บริหารหรือหัวหน้างานระดับต้น First – Line Manager
ทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมงานเท่านั้นจัดการงานเท่าที่ได้รับคำสั่งให้ทำ

ภาพแสดงการเปรียบเทียบระดับบุคลากรในองค์กร



2.  ผู้บริหารระดับกลาง  (Middle Managers) ได้แก่ตำแหน่ง ผู้จัดการโรงงาน   ผู้จัดการฝ่ายผลิต หัวหน้าวิศวกร ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติกร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
3.  ผู้บริหารระดับสูง (Top Managers)  ได้แก่  ตำแหน่ง  ประธานกรรมการบริษัท  ประธานบริษัท  ผู้บริหารระดับสูงหรือรองประธาน  ผู้อำนวยการหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการ  หรือ  รวมถึง ตำแหน่งผู้ว่าการ  เลขาธิการ  อธิบดี  ปลัดกระทรวง  เป็นต้นมีหน้าที่และความรับผิดชอบ การจัดการระดับสูง  (Top Management) หรือการบริหารระดับสูง (Top Executive)


ระดับผู้บริหารและอำนาจหน้าที่


ระบบการบริหาร  (Management System)


ระบบการบริหารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

                    1. ระบบเปิด  (Open system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก

                   2.   ระบบปิด  (Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ


หลักในการจัดรูปแบบของการบริหารงานยุคใหม่

    1.   มีการกระจายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
                2.   จัดโครงสร้างให้เป็นไปตามสายงานการผลิต  จำหน่าย
                3.   การบริหารงานส่วนกลาง  (Corporate Management) รับผิดชอบในทุกกระบวนการของการบริหารงานหลักทุก ๆ ส่วนงาน
                4.   ผลการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จะถูกจัดโดยกำไร/การหมุนเวียนของกระแสเงินสด


หลักในการจัดรูปแบบของการบริหารงานยุคใหม่

การบริหารงานในหลายรูปแบบ  โดยทั่วไปสรุปได้ 3 แบบ ดังนี้

                รูปแบบที่  1 บริหารงานแบบอัตตาธิปไตย  คือ  การถือตนเอง  ความคิดเห็นหรือวิธีการของตนเองเป็นใหญ่  ถือว่าตนเองฉลาดหรือเก่งกว่าใคร  บริหารงานแบบเผด็จการ

                รูปแบบที่  2 บริหารงานแบบโลกาธิปไตย  คือ การถือคนอื่นเป็นใหญ่  ไม่มีจุดยืนของตนเอง  ขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าตัดสินใจ

                รูปแบบที่  3  บริหารงานแบบธรรมาธิปไตย  คือ การถือธรรมหรือหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ


ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร

    หน้าที่ของผู้บริหาร (Management Functions) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดกระบวนการจัดการ
             
                Henri Fayol นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส ในต้นศตรรษที่ 19 ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารดังนี้ (POCCC)

     1. Planning (การวางแผน)
     2.Organizing (การจัดองค์การ)
     3.Commanding (การสั่งการ)
     4.Coordinating (การประสานงาน)
     5.Controlling (การควบคุม)


บทบาททางการบริหาร (Management Roles)

          Henry Mintberg ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารที่สำคัญมี 10 อย่างประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมากบทบาท คือ

     1.  บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Interpersonal  roles) ได้แก่
                - ประธาน (Figurehead) เป็นบทบาทในการเป็นตัวแทน องค์กร  เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจประจำวันตามลักษณะทางสังคมและกฎหมาย เช่น อบรมสัมมนาต้อนรับลูกค้า หรือเป็นการสวมหัวโขนนั่นเอง
                - ผู้นำ  (Leadership) 
                - ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson)

     2.  บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่
- ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor)
- ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator)
-  โฆษก  ประชาสัมพันธ์  (Spokesperson)

    3. บทบาทด้านการตัดสินใน  (Decision roles) ได้แก่
-   ผู้ประกอบการ  (Entrepreneur)
-   ผู้ขจัดความขัดแย้ง  (Disturbance Handler)
-   ผู้จัดสรรทรัพยากร  (Resource Allocate)
-   ผู้เจรจาต่อรอง  (Negotiator)


ทักษะของผู้บริหาร

      Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี 3 อย่าง คือ

1)  ทักษะด้านเทคนิค   (Technical Skills)
2)  ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์  (Human Skills)
3)   ทักษะด้านการประสมแนวความคิด  (Conceptual Skill)


กิจกรรมทางการบริหาร

Fred Luthans ได้เสนอกิจกรรมทางการบริหารมี 4 อย่างด้วยกัน คือ

                1.  Traditional Management ได้แก่ การตัดสินใจ การวางแผน และการควบคุม
                2.  Communication ได้แก่ การแลกเปลี่ยนแปลงข่าวสาร และการทำเอกสารต่าง ๆ
                3.  Human Resource Management ได้แก่ การจูงใจ การจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์ การบริหาร ความขัดแย้ง  การจัดคนเข้าทำงานและการฝึกอบรม                              
                4.  Networking ได้แก่ การเข้าสมาคม การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก


จากการสำรวจ  ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกัน  คือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ (Successful Managers) ซึ่งก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้เร็วกว่าผู้อื่น จะเน้นกิจกรรมด้าน Networking มากที่สุดทำกิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์น้อยที่สุด ส่วนผู้บริหารที่ตั้งใจทำงานให้เกิดประสิทธิผล (Effective Manager) ซึ่งพิจารณาจากปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงานเป็นเครื่องวัดนั้น จะเน้นด้านการติดต่อสื่อสาร (Communication) การบริหารทรัพยากรมนุษย์และงานด้านการบริหารตามลำดับ ส่วนกิจกรรมด้าน networking จะทำน้อยที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น