วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ครั้งที่ 6

บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย( Pre-School Administration )

อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วัน/เดือน/ปี : 15 กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 6 เวลาเรียน 12:30 - 15:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้องเรียน 34-501




เสนอคำคม

เลขที่ 10 นางสาวกฤษณี  แก้วแกมทอง






การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
  1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
  2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
  3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
  5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
  7. ความต้องการของชุมชน

การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
  1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
  2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
  3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่






2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
    (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
  1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
  2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
  3.รูปแบบตามอัธยาศัย

3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
  คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”



หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. การบริหารงานวิชาการ
  เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด
2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
  คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ

3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย

  - งานธุรการในสถานศึกษา
  - งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
  - งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
  - งานทะเบียนและรายงาน
  - งานรักษาความปลอดภัย
  - งานการเงินและพัสดุ
  - งานพัสดุ

4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย 

       คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง

5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย

           - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
           - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์


การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป

ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management)

  คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด


หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management)

  หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
  • หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
  • หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน( Return Power to People)
  • หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
  • หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)

รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน

• ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก (Administrative Control School Council )
• บริหารโดยครูเป็นหลัก (Professional Control Council)
• การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท (Community Control School Council)
• ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก (Professional Community Control School Council)

สรุปการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ( School-Based Management )
       การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management)เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบเบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง     

ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge)
  การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
รูปแบบของความคิด (Mental Models)
วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
การคิดเชิงระบบ (System Thinking)




สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
  • การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
  • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
  • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ

ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
• สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
• ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
• การบริหารแบบมีส่วนร่วม
• ผลงานที่เกิดขึ้น
• สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
• ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
• ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
• การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
• ใช้งบประมาณมาก
• ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
• การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน


นำเสนอหน้าที่ของผู้บริหาร




 " JIDAPA "
J: Job analysis หมายถึง การวิเคราะห์งาน 
                           
I: Innovation หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่
             
D: Directing หมายถึง การสั่งการ การตัดสินใจ และการเป็นผู้นำในองค์กร     
               
A: Apply หมายถึง ประยุกต์ใช้

P: Participation หมายถึง การมีส่วนร่วม 
                        
A: Adjust หมายถึง แก้ไขปรับปรุง



วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ครั้งที่ 5

บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย( Pre-School Administration )

อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วัน/เดือน/ปี : 08 กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 5 เวลาเรียน 12:30 - 15:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้องเรียน 34-501





ครั้งที่ 4

บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย( Pre-School Administration )

อาจารย์ผู้สอน  อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
วัน/เดือน/ปี : 01 กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 4 เวลาเรียน 12:30 - 15:30
กลุ่ม 102 วันพุธ ห้องเรียน 34-501




นำเสนอบทความ
เลขที่ 4 นางสาววีรดา  ตรีมิ่งมิตร


เลขที่ 7 นางสาวภูษณิศา  กาบเครือ


เลขที่8 นางสาวภณิชชา  กาบเครือ


เลขที่9 นางสาวธนทร  ศรีหินกอง


นำเสนองาน ในหัวข้อ "ประเภทของสถานศึกษา"


กลุ่มที่ 1 โรงเรียนอนุบาล



โรงเรียนอนุบาล คือ  

      โรงเรียนที่เปิดสอนในระดับอนุบาล ซึ่งอาจจะเป็นโรงเรียนของเอกชนหรือของรัฐก็ได้ บางโรงเรียนอาจเปิดสอนระดับประถมศึกษาร่วมด้วย หรืออาจจะสอนถึงระดับมัธยมศึกษาก็ได้

เกณฑ์การรับเด็กเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล
        มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๔๖ ข้อ ๑ (๑) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษา ระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้ดังต่อไปนี้

              ข้อ 1 การรับเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้รับเด็กที่มีอายุไม่น้อยกว่า ๔ ปีบริบูรณ์

              ข้อ 2 การนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้นับตั้งแต่วันที่เด็กเกิดไปจนถึงวันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๓

ตัวอย่างโรงเรียน















กลุ่มที่ 2 ศูนย์พัฒนาเด็ดเล็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา

กลุ่มที่ 3 เนอร์เซอรี่

กลุ่มที่ 4 ศูนย์เลี้ยงเล็ก



ศูนย์เลี้ยงเด็ก

          การจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการและชุมชนภายใต้การบูรณาการความร่วมมือกับ 5 กระทรวง ประกอบด้วย
  • กระทรวงแรงงาน
  • กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • กระทรวงสาธารณสุข
  • กระทรวงแรงงาน

การบริหารจัดการ

       1. จัดให้มีบุคลากรที่จำเป็นในการดำเนินงานรับเลี้ยงและพัฒนาเด็ก เช่น เจ้าของกิจการ ผู้ดำเนินการ พยาบาล สถานพยาบาล ผู้เลี้ยงดูเด็ก ผู้จัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ผู้ประกอบอาหาร ผู้ทำความสะอาด เป็นต้น โดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งๆ อาจทำหน้าที่เกินกว่าหนึ่งประการได้แต่ต้องมีจำนวน ที่เหมาะสมกับจำนวนเด็ก หรืออาจใช้ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการทำหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม

      2. คุณสมบัติของผู้เลี้ยงดูเด็กในศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการและชุมชน
- ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์
- มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจต้องผ่านการตรวจสุขภาพก่อนปฏิบัติงาน
- มีคุณวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และต้องผ่านการฝึกอบรม เรื่องการ
อบรมเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก

3. อัตราส่วนระหว่างผู้เลี้ยงดูเด็กกับเด็ก
- เด็กอายุแรกเกิด – 2 ปี อัตราส่วน 1:3
- เด็กอายุ 2 – 3 ปี อัตราส่วน 1:8
- เด็กอายุ 3 – 4 ปี อัตราส่วน 1:12
- เด็กอายุ 4 – 6 ปี อัตราส่วน 1:20

4. การขออนุญาตจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กที่ให้บริการรับเลี้ยงเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่มีเด็กจำนวน 6 คนขึ้นไป ต้องได้รับอนุญาตให้จัดตั้ง การขออนุญาตจัดตั้งให้ติดต่อขออนุญาตจัดตั้ง

ตัวอย่าง



งานบริหารของศูนย์ฯ

- การเลี้ยงดู เตรียมความพร้อมด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา ให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย และศักยภาพของเด็ก
- ตรวจประเมินการเจริญเติบโต รวมทั้ง พัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
- ให้คำแนะนำในด้านสุขภาพ การป้องกันโรค การดูแล และ แนวทางในการเลี้ยงดูบุตรแก่บิดา มารดา
- ให้คำแนะนำแก่มารดาที่มีปัญหาเกี่ยวกับการให้นมบุตร การพัฒนาการและสุขภาพเด็ก โดยผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คลินิกกระตุ้นพัฒนาการและกุมารแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- บริการอาหารเช้า อาหารกลางวัน พร้อมอาหารว่างมื้อบ่าย โดยมีโภชนากร จากฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้จัดเมนูอาหารร่วมกับพยาบาลและคณะกรรมการศูนย์ฯ

หลักเกณฑ์การรับเด็ก
- รับเลี้ยงดูเด็กปกติตั้งแต่แรกเกิด ถึง 3 ปี
  - เป็นบุตรบุคลากรภายในคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อัตรากำลังพี่เลี้ยงเด็ก
- เด็ก อายุต่ำกว่า 1  ปี  สัดส่วนพี่เลี้ยงเด็ก 1 คนต่อเด็ก 3 คน 
  - เด็ก อายุ  2 – 3   ปี    สัดส่วนพี่เลี้ยงเด็ก 1 คนต่อเด็ก 5-7 คน





กลุ่มที่ 5 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน

กลุ่มที่ 6 ศูนย์เด็กเล็ก

กลุ่มที่ 7 โรงเรียนเตรียมประถม


ชั้นเตรียมประถมคืออะไร
  • ชั้นเตรียมประถม ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ระหว่างโรงเรียนอนุบาลกับโรงเรียนประถม
  • ตลอดระยะเวลาเรียนของเด็ก ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุครบ ๑ ขวบ ไปจนถึงจบชั้นมัธยมปลาย จะถูกกำหนด โดยหลักสูตรการศึกษา ซึ่งโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโรงเรียนมัธยมปลาย ต่างก็มีหลักสูตรการศึกษาของตัวเองโดยเฉพาะ โดยชั้นเตรียมประถมจะใช้หลักสูตรการศึกษาเดียวกับโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่ง เมืองความรู้แห่งเฮลซิงบอร์ย มอสิ่งนั้นว่าเป็นการติดตามพัฒนาการตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่
  • ชั้นเตรียมประถมจะเป็นการศึกษาโดยสมัครใจ แต่เด็กที่มีอายุหกปีในสวีเดนส่วนมาก จะเข้าเรียนในชั้นนี้ เทศบาลจะมีหน้าที่ในการเปิดรับ และจัดการเรียนการสอนในชั้นเตรียมประถมให้แก่เด็ก 
ใครมีสิทธิ์เข้าเรียนได้บ้าง
  •          เด็ก ๆ มีสิทธิ์เข้าเรียนชั้นเตรียมประถมเมื่ออายุ 6 ปี ซึ่งเปิดรับเข้าเรียนตามความสมัครใจ และเด็กส่วนมากจะเข้าเรียนในชั้นนี้ เด็กมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเรียนชั้นเตรียมประถมในโรงเรียนอนุบาลเดิม หรือสถานอบรมดูแลเด็กสำหรับกลุ่มอายุ 6 ปี
  •          โดยส่วนใหญ่ชั้นเตรียมประถม จะจัดอยู่ในหรืออยู่ใกล้กับโรงเรียน ที่นักเรียนจะเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานในชั้นปีที่ 1
  •          เด็กทุกคนมีสิทธิ์เข้าเรียนในชั้นเตรียมประถม แต่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนชั้นนี้
ชั้นเตรียมประถมมีลักษณะเป็นอย่างไร

  •          ชั้นเตรียมประถม เป็นการศึกษาเชื่อมต่อจากชั้นอนุบาลไปสู่การศึกษาภาคบังคับหรือขั้นพื้นฐาน โดยจะผสมผสานรูปแบบการดำเนินงานและวิธีการ ระหว่างโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนขั้นพื้นฐานเข้าด้วยกัน
  •          กิจกรรมการเรียนการสอนจะใช้เวลาวันละประมาณสามชั่วโมง ช่วงที่เหลือนักเรียนส่วนใหญ่จะเข้าศูนย์นันทนาการ หรือสถานรับอบรมดูแลเด็ก
  •         เทศบาลมีหน้าที่ จัดการเรียนการสอนชั้นเตรียมประถม และรับนักเรียนเข้าเรียนในชั้นนี้ ชั้นเตรียมประถมที่ดำเนินการโดยโรงเรียนเอกชน จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แทนชั้นเตรียมประถมในสังกัดเทศบาล
  •          ชั้นเตรียมประถม จะเปิดให้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
  •          ในชั้นเตรียมประถมเราไม่ได้คาดหวังว่านักเรียนต้องผ่านเกณฑ์ความรู้ในวิชาต่างๆ  แม้ว่าเราจะเริ่มฝึกฝนเรื่องต่างๆ ทีละ น้อย แต่ในชั้นนี้นักเรียนไม่จำเป็นต้องอ่านได้ เขียนได้ หรือนับเลขได้  เรารู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาเด็กก็จะเป็นเอง เพราะในวัยนี้ เด็กกำลังอยากรู้อยากเห็น และอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว

หนังสือหรับหรับชั้นเตรียมประถม





ตัวอย่างโรงเรียน

โรงเรียนดรุณพัฒน์ ถ.ประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900 



แนวทางการสอนระดับเตรียมประถม และประถมศึกษา
1. นักเรียนมีเวลาเรียนเฉลี่ยวันละ 6 ช.ม. นักเรียน G.1 – G.3 สอนโดยครูประจำชั้นชาวต่างประเทศ    ทุกสาระ ยกเว้น วิชาศิลปะ ภาษาไทย สังคมศึกษา สอนโดยครูประจำชั้นคนไทยและเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติและการบูรณาการ
2. นักเรียนทุกคนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 8 กลุ่มสาระ สอนเป็นภาษาอังกฤษ 70 %โดยประมาณและภาษาไทย 30% โดยประมาณ และเน้นภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นสำคัญ
3. นักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตอบสนองความสามารถตามความถนัดและความสนใจในคาบเรียนที่ 7 และ 8 Club พร้อมด้วยการเสริมภาษาจีนสัปดาห์ละ 1 คาบ
4. นักเรียนเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
5. เมื่อเรียนจบแต่ละช่วงชั้น นักเรียนมีคุณภาพด้านความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม ตามมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น และสอบ NT เมื่อจบช่วงชั้นที่1


กลุ่มที่ 8 สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย



สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย คือ
       สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย หรือ โรงเรียนเด็กเล็ก เปิดขึ้นเพื่อรับเด็กอายุโดยประมาณ 1ขวบครึ่ง ถึง 3 ขวบ ทำหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและภาษา  ช่วงเวลาเปิดเรียนอาจเป็นเรียนเต็มวันหรือครึ่งวัน แล้วแต่ความต้องการของผู้ปกครองหรือชุมชน

      สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยดำเนินการโดย รัฐบาล และหน่วยงานเอกชนที่มีอยู่หลายรูปแบบมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น
-สถานรับเลี้ยงเด็ก
-ศูนย์โภชนาการ
-ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
-โรงเรียนอนุบาล
หน่วยงานที่จัดคือ
-กรมพัฒนาชุมชน
-กรมอนามัย
-กรมอาชีวศึกษา
-สมาคมมูลนิธิต่าง ๆ
-กรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบัน คือ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

ตามประกาศของคณะปฏิวัติ
           ฉบับที่ 294 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ได้ให้ความหมายของคำว่า
  • สถานรับเลี้ยงเด็ก หมายถึง สถานที่รับเลี้ยงเด็กซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ และมีจำนวนเกิน 5 คน

  • ซึ่งไม่เกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้เลี้ยง แต่ไม่รวมถึงสถานพยาบาล หรือโรงเรียนอนุบาล


ลักษณะของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
1. แยกอิสระ
        
เป็นบริการตามบ้าน หรือสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นบริการแก่ชุมชน เช่น บ้าน วัด โรงพยาบาล วิทยาลัยพยาบาล โรงงาน เป็นต้น โรงเรียนเด็กเล็กประเภทนี้จะใช้ชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็ก เป็นต้น

2. ขึ้นอยู่กับโรงเรียนอนุบาล

     มักจะเรียกว่า ชั้นเด็กเล็ก (Nursery Class) บางแห่งเรียกเตรียมอนุบาลโรงเรียนเด็กกลุ่มนี้รวมถึงโรงเรียนเด็กเล็กของมหาวิทยาลัยด้วย

3. ขึ้นอยู่กับโรงเรียนประถมศึกษา
    โรงเรียนประถมศึกษาบางแห่งจะจัดการศึกษา
ทุกระดับตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก ชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเบ็ดเสร็จสำหรับการศึกษาปฐมวัย

ตัวอย่าง

ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย คณะพยาบาลศาสตร์

มหาวิยาลัยธรรมศาสตร์  ศูนย์รังสิต


ประวัติความเป็นมาของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย         

        
  เด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงสุดของประเทศ  การเลี้ยงดูเด็กให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย  จิตใจ อารมณ์  สังคม  และจิตวิญญาณที่สมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญ  ที่ผู้เลี้ยงดูเด็กทุกคนจะต้องมีความรู้  ความเข้าใจ  และตระหนักถึงความสำคัญนี้  ประกอบกับในสังคมปัจจุบัน  บิดา มารดาต้องช่วยกันรับผิดชอบในการหารายได้เพื่อความมั่นคงของครอบครัว  ทำให้ภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูอยู่กับคนอื่น
          คณะพยาบาลศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดการศึกษาการเจริญเติบโต  และพัฒนาการ  การบริบาลเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพดีและการให้บริการวิชาการแก่สังคม  ในการช่วยเหลือบิดา มารดา  ท่านผู้ปกครองที่จะดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ  โดยเฉพาะเด็กตั้งแต่อายุ  6  สัปดาห์  ถึง  3  ปี  ซึ่งเป็นวัยที่การเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็วเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต  จึงได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นเมื่อวันที่ 2  สิงหาคม  พ.ศ.  2542  เป็นต้นมา


วิสัยทัศน์

         
 เป็นศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยต้นแบบ ให้บริการที่เป็นเลิศด้วยความรู้ 
คู่คุณธรรมบูรณาการนวัตกรรมสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมนำการวิจัยสู่การพัฒนา

พันธกิจ

1. บริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน
2. พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้  ความสามารถ คุณธรรม  จริยธรรม  และทักษะที่จำเป็นในการดูแลเด็ก
3. พัฒนาคู่มือ  หลักสูตรและโครงการสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
4. เป็นศูนย์กลางการศึกษา  การวิจัย  และการบริการวิชาการแก่สังคม  ในการสร้างเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัย
5. บูรณาการวิจัยและนวัตกรรมสู่การปฏิบัติการและพัฒนาการเรียนการสอน
6. สร้างระบบการประกันคุณภาพ  การปรับปรุงคุณภาพ  และระบบการจัดการภายใน  โดยมีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง
จัดสภาพแวดล้อม  สร้างความแข็งแกร่งของครอบครัว  เพื่อช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ